จนท. บุกจับลูกจ้างโรงพยาบาลรัฐ

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ต.ปฏิภาณ เป็นสุข สว.กก.2 บก.ปอศ.,ร.ต.อ.อภินันท์ พจน์มนต์ปิติ รอง สว.กก.2 บก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. พร้อมด้วย กก.4 บก.ทล. และ สภ.สีชมพู ร่วมกันจับกุมชาย อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ จ.155/2568 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออก ตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากรและเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร

สถานที่จับกุม บริเวณหน้าโรงพยาบาลในพื้นที่ ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากผู้ต้องหามีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัทซึ่งประกอบกิจการรับซื้อขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ทั่วประเทศ (ซื้อขายของเก่า) มีการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่า บริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการระหว่างกันจริง โดยพบใบกำกับภาษีที่มีชื่อบริษัทฯ เป็นผู้ออกใบกำกับภาษี จำนวน 138 ฉบับ ซึ่งเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อประเมินความเสียหายในกรณีดังกล่าวมีทั้งสิ้นกว่า 100 ล้านบาท ประกอบกับการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายลักษณะเป็นการออกใบกำกับภาษีโดยที่ไม่มีสิทธิออก

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาจะมาปรากฏตัวในบริเวณหน้าโรงพยาบาลในพื้นที่ ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เดินทางไปเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าว เมื่อผู้ต้องหาปรากฏตัว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าแสดงตัวขอตรวจสอบและพบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับจริง จึงดำเนินการจับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยแจ้งว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.2558 ตนเองรับราชการอยู่ภายในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง และได้มีกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นพนักงานขายเครื่องมือแพทย์ได้ชักชวนให้หารายได้พิเศษ โดยการนำบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านมามอบให้กลุ่มบุคคลดังกล่าว พร้อมให้ลงลายมือชื่อไปยังเอกสารบางอย่างซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเอกสารใด โดยอ้างว่าจะนำไปประกอบการเสนอขายเครื่องมือแพทย์ในสถานที่ต่างๆ และจะได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้งหากสามารถขายสินค้าได้ ผู้ต้องหาหลงเชื่อจึงมอบเอกสารดังกล่าว ให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าวไป ซึ่งตนเองก็ได้รับค่าตอบแทนจริงเป็นจำนวนกว่า 10 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1,000 – 2,000 บาท และเมื่อช่วงประมาณเดือน ก.พ.68 ตนได้รับหมายเรียกแต่มิได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก จนมาทราบภายหลังว่าตนเองมีหมายจับดังกล่าวข้างต้น

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงาน