สลด! แม่นั่งก๊งเหล้ากับลูกสาว เมาทะเลาะรุนแรง แม่จับหัวลูกโขกพื้นดับคาบ้าน ก่อนนั่งร้องไห้เสียใจ กับสิ่งที่ทำลงไป

วันที่ 13 มี.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ได้รับแจ้งเหตุ ทำร้ายร่างกายกันจนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต ซอยสามัคคี 1 หมู่ 9 ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงเดินทางไปตรวจสอบและสอบสวน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย สมาคมกู้ภัยข่าวภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 และแพทย์เวรโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร

ที่เกิดเหตุ พบผู้ก่อเหตุคือ นางน้อย อายุ 66 ปี หรือ ยายแม็ด อยู่รอพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีญาติ ๆ ซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันรออยู่ด้วย ส่วนศพผู้เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านของผู้เสียชีวิต ทราบชื่อคือ นางนิตยา อายุ 50 ปี หรือ นางอู๊ด เป็นลูกสาวคนโตของยายแม็ด สวมเสื้อลายสีแดง กางเกงขายาวสีดำ นอนตะแคงเสียชีวิตอยู่บริเวณพื้นใกล้โต๊ะอาหาร เลือดออกบริเวณศีรษะ ส่วนยายแม็ดนั้น พักอาศัยอยู่ในเพิงหลังบ้านของลูกสาว

จากการสอบสวน นางนิด ผู้ที่พบเจอผู้เสียชีวิตก่อนเกิดเหตุ เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ตนเองยังพบเจอและกล่าวตักเตือนให้แม่ลูกไม่ทะเลาะกัน เพราะหากกินเหล้าเมื่อไหร่ก็จะมักจะทะเลาะกัน สอดคล้องกับชาวบ้านในละแวกนี้ บอกเป็นเสียงกันว่า ทั้งคู่เคยทะเลาะ ทำร่างกายกันเป็นประจำ บางครั้งก็เผาบ้านจนมีรอยคราบเขม่าเห็นได้ชัดที่หน้าบ้านมาจนถึงปัจจุบัน

ทางด้าน ยายแม็ด ผู้ก่อเหตุ บอกเล่าว่า ตอนนี้นึกไม่ออกบอกไม่ถูก แต่จำได้ว่าลูกให้ไปซื้อเหล้ามากินกัน 30 บาท แล้วก็มานั่งกินกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น แต่ลูกพูดมาก ชอบด่า การก่อเหตุในครั้งนี้ไม่ได้ใช้มีดหรืออาวุธ ใช้แต่มืออย่างเดียว จับหัวลูกโขกกับพื้น ตนเองรู้ใจน้อยใจ แล้วก็ร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้น ตำรวจได้เก็บหลักฐานตามร่างกายของยายแม็ดประกอบการดำเนินคดี โดยมีญาติ ๆ ต่างเข้ามาบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่น่าดื่มเหล้าเลย ทะเลาะกันฆ่ากันตาย ก็เพราะเหล้าแท้ ๆ

ในขณะที่ พันตำรวจเอก วัชรพงษ์ สิทธิรุ่งโรจน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เป็นเผยหลังจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 แพทย์เวรโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเบื้องต้นว่า คดีนี้เป็นเหตุทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิต โดยไม่มีอาวุธ

เบื้องต้น พบมีร่องรอยบาดแผลที่บริเวณศรีษะ และด้วยระยะเวลาที่เกิดเหตุมาจนถึงช่วงที่พบผู้เสียชีวิตผ่านไปเป็นระยะเวลานาน พบว่ามีการเสียเลือดมาก ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตที่แท้จริงต้องรอให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดก่อนส่งศพให้ญาตินำร่างไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป